ผู้ติดตาม

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

iOS คืออะไร


ไอโอเอส (iOS) หรือในชื่อเดิมคือ ไอโฟนโอเอส (iPhone OS) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟนของบริษัทแอปเปิล (Apple Inc.) หรือในชื่อเดิม แอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer Inc.) โดยเริ่มต้นพัฒนาสำหรับใช้ในโทรศัพท์ไอโฟน (iPhone) เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 
และได้พัฒนาต่อในเวอร์ชั่น iOS 2.x ใช้สำหรับ ไอพอดทัช (iPod Touch) และ ไอแพด (iPad) เปิดตัวเมื่อ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 โดยระบบปฏิบัติการนี้สามารถเชื่อมต่อไปยังแอปสโตร์ (App Store) สำหรับเข้าถึงแอปพลิเคชัน (Application) มากมาย โดยใช้งานได้ในเวอร์ชั่น iOS 2.x เป็นครั้งแรกอีกด้วย
---------------------------------------------------------------------------------------------------------ฟรี! โปรแกรมรวมข่าวจากทุกสำนักทั่วประเทศ ข่าวรับตรง สอบตรง แอดมิชชั่น ค่ายกิจกรรม ทุนการศึกษา ข่าวครู อาชีวศึกษา ศึกษาต่อต่างประเทศ
พร้อมระบบ Alert แจ้งข่าวอัตโนมัติทันที เมื่อมีข่าวใหม่ ใช้งานง่าย ติดตั้งง่าย ดาวน์โหลดฟรีที่นี่ >>โปรแกรม Live Education News

คัดลอกจาก : http://blog.eduzones.com/ultapix/98577

iOS 6 มีบั๊ก!!! ไม่ยอมเชื่อมต่อ Wi-Fi ?


ยังไม่ทันข้ามวันที่ iOS 6 เปิดให้ผู้ใช้ได้อัพเดทกันทั่วโลก ก็มีรายงานข่าวชวนปวดตับออกมาซะแล้ว โดยผู้ใช้ iPhoneและ iPad หลายรายที่อัพเดท iOS 6 รายงานว่า พวกเขาประสบกับปัญหาไม่สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ โดยมันจะมีการรีไดเร็กต์หน้าเว็บไปยัง "Page Not Found" บนเว็บไซต์ของ Apple อุ๊ปส์!!!
 เนื่อง จากการทำงานของ iOS 6  (และเวอร์ชันก่อนหน้านี้) ในส่วนของ Wi-Fi มันจะมีการตรวจสอบความสำเร็จในการเชื่อมต่อ โดยปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อผู้ใช้พยายามเชื่อมต่อ Wi-Fi อีกครั้ง มันดูเหมือนจะเชื่อมต่อได้ แต่หลังจากนั้นมันกลับรีไดเร็กต์ไปที่หน้าเว็บ "Log In/404 Page" หรือไม่พบหน้าเว็บที่ต้องการจากเว็บไซต์ของ Apple ซึ่งประเด็นนี้มีคำอธิบายว่า iOS จะตรวสอบการล็อกอินของ Hotspot หากเชื่อมต่อสำเร็จ ก็จะแสดงหน้าเว็บการเชื่อมต่อ "success" บนเว็บไซต์ของ Apple สำหรับกรณีของปัญหาที่เกิดขึ้น การเชื่อมต่อ Wi-Fi สำเร็จ แต่หน้าเว็บ "Sucess"http://www.apple.com/library/test/success.html บน เว็บไซต์ Apple ถ้าไม่สำเร็จก็จะโผล่หน้า Log In ขึ้นมาแทน ประเด็นคือ มีมือดีไปลบหน้าเว็บนี้ออกไป ทำให้ iOS 6 ไม่พบหน้าเว็บดังกล่าว แม้จะเชื่อมต่อสำเร็จ ก็เลยส่งหน้าเว็บ Log In/404 Page กลับไปให้แทน ผู้ใช้ก็เลยตกใจกันหมด ล่าสุดมีรายงานว่า ปัญหาดังกล่าวได้ถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว สำหรับคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ท่านใดที่อัพเดท iOS 6 แล้ว เป็นอย่างไรกันบ้าง เจอปัญหานี้ หรือไม่? ช่วยบอกกล่าวกันบ้างเน้อ


คัดลอกจาก : http://hitech.sanook.com/1041584/ios-6-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%81-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD-wi-fi/

แอปเปิลออก iOS 6.1 Beta 3 พร้อมเลือกคีย์บอร์ดไทย 4 แถว และ 5 แถวได้


สำหรับใครที่กำลังเบื่อและไม่ชอบคีย์บอร์ดภาษาไทยบน iPhone แบบ 5 แถว อยากจะกลับไปใช้แบบ 4 แถวเหมือนเดิม ล่าสุดแอปเปิลได้ออก iOS 6.1 Beta 3 (รุ่นทดสอบสำหรับนักพัฒนา) ซึ่งฟีเจอร์ใหม่บน iOS 6.1 Beta 3 จะมาพร้อมกับตัวเลือกคีย์บอร์ดแบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบคีย์บอร์ดได้ทั้งแบบ 4 แถว และ 5 แถวได้ หรือจะเลือกทั้งสองแบบก็ได้ ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ไม่ชอบคีย์บอร์ดแบบเดิม นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในส่วนอื่น ๆ อีกมากมาย สำหรับใครที่สมัครเป็น Developers กับแอปเปิล สามารถดาวน์โหลด iOS 6.1 Beta 3 มาทดลองใช้งานได้แล้ว ส่วนผู้ใช้งานทั่วไปต้องรอทางแอปเปิลประกาศวันออกเวอร์ชั่นเต็มของ iOS 6.1 อีกที 
(ตัวเลือกคีย์บอร์ดไทย 4 แถวและ 5 แถว)
(คีย์บอร์ดไทยแบบ 4 แถวและแบบ 5 แถว) 
คัดลอกจาก : http://iphone.kapook.com/ios-6-1-beta-3-to-developers/

โหลด App ที่มีเฉพาะในอเมริกาทำยังไง?



เคยไหมครับอ่านข่าวตามเว็บต่างประเทศแล้วเจอ App เจ๋งๆฟรีๆ อยากจะโหลด พอกดไปตาม link มันก็บอกว่า App นี้ไม่มีในประเทศคุณ , ลองหาใน itunes ก็ไม่เจอ, พอเปลี่ยนประเทศใน itunes เป็นอเมริกาปุ๊ปแล้วหาใหม่ก็เจอปั๊ป แต่!!!โหลดไม่ได้

ก่อนจะแนะนำว่าทำอย่างไรถึงจะโหลด App ที่มีเฉพาะในอเมริกามาใช้ได้ , ก็อยากจะขอแนะนำ App พวกนั้นก่อนว่ามีอะไรบ้างที่น่าสนใจ

Google Earth: พูดถึง Google Earth คงไม่มีใครไม่รู้จักน่ะครับ, Google Earth ที่คุณเคยเล่น + Accelerometer  = สุดยอด


Dragon Dictation: Speech to text แปลงเสียงพูดเป็นตัวอักษรครับ , แปลงได้ค่อนข้างถูกต้อง ผมว่ามากกว่า 90% ,  เหมาะสำหรับคนขี้เกียจพิมพ์ หรืออยากพิมพ์อะไรยาวๆก็ใช้พูดแทนพิมพ์เอา เร็วกว่าเยอะ, เสียดายที่แปลงได้แค่ภาษาอังกฤษ


Microsoft OneNote: App เอาไว้จด note จาก Microsoft, สามารถ Sync note ที่เราจดได้กับ OneNote บน Computer เรา


Bing: Search Engine จาก Microsoft ครับ


Y! AppSpot: App ไว้แนะนำ App จาก Yahoo ครับ, แตกต่างจาก App อันอื่นตรงที่ App นี้จะ Scan App ที่คุณมีอยู่ในเครื่องและแนะนำ App ใหม่ๆตามรสนิยม App ของคุณ


Pandora: Online Radio แนวใหม่ที่เคยแนะนำไปครับ ฟังได้สดจาก iphone คุณเลย แต่ว่า iPhone คุณต้องใช้ VPN น่ะ


เอาหล่ะวิธีที่จะโหลด App ที่มีเฉพาะในอเมริกา
1. สร้าง itunes account ในประเทศอเมริกาแต่ไม่ใส่หมายเลข Credit Card : วิธีนี้ก็ทำง่ายๆโดยสมัคร Account ใหม่แต่เวลาสมัครก็ให้เลือกประเทศเป็นประเทศอเมริกาแทนประเทศที่เราอยู่ แล้วก็ใช้ Google หาที่อยู่อะไรก็ได้ในอเมริกามาใส่ให้ถูกต้อง ส่วนหมายเลขบัตรเครดิตก็ไม่ต้องใส่(ให้เลือก none  ในช่องประเภทของ Credit card) เมื่อสมัครแล้วเราก็สามารถใช้ Account นี้ในการโหลด “App  ฟรี” จากอเมริการได้อย่างไม่มีปัญหา  แต่ถ้าอยากจะโหลด App ที่ต้องจ่่ายเงิน เราต้องมีบัตร Credit ของอเมริกาถึงจะใช้ได้
แต่!!!   แต่ประมาณเดือนที่แล้วเองที่ Apple เปลี่ยนกฏให้คนที่สมัคร Account ใหม่ต้องใส่หมายเลข Credit Card เท่านั้นถึงจะสมัครได้ … (แต่ใครที่สมัครไปแล้ว Account นั้นก็ยังใช้ได้อยู่ครับ)
2. สร้าง itunes account ในประเทศอเมริกาและใส่หมายเลข Credit Card : วิธีนี้เหมือนกันวิธีที่แล้วครับ เพียงแต่เราก็ใส่หมายเลข Credit Card  เข้าไป … แล้วจะเอา Credit Card จากอเมริกามาจากไหน?
- จากเพื่อนชาวอเมริกาสิครับ: ใครมีเพื่อนไทยอยู่อเมริกา หรือ มีเพื่อนชาวอเมริกา ก็คุยกันเอาเองละกันครับ ถ้าไม่สนิทจริงคงยากหน่อยผมว่า
- จากเว็บ usunlocked.com:  วิธีก็คือเราสมัคร Credit Card จากเว็บนี้ , ซึ่ง Credit Card จะเป็นเหมือนลักษณะ Pre-paid credit card ก็คือเราต้องมีเงินใส่เข้าไปใน Credit Card ก่อน ถึงจะสามารถใช้งานได้ , ค่าสมัครก็  10 เหรียญ เสร็จแล้วก็ต้องเติมเงินให้มีเงินในบัตรอย่างต่ำอีก 51 เหรียญ (รวมค่าธรรมเนียมต่างๆแล้วก็ประมาณ 62.46 เหรียญ) เสร็จแล้วเราก็จะได้เบอร์บัตรและที่อยู่ในอเมริกามากรอกเวลาสมัคร Account itunes ครับ, อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ
3. ใช้ Installous : App พวกนี้มักจะมีอยู่ใน Installous อยู่แล้ว เราก็เข้า Installous แล้วก็โหลดกันเลยครับ แต่การจะลง installous จะต้อง Jailbreak ก่อนน่ะครับ , ดูรายละเอียดได้ที่นี่


คัดลอกจาก : http://www.techz500.com/?p=629#more-629

มีอะไรใหม่ใน iOS5 (iPhone, iPod touch, iPad)



เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมาในงาน WWDC (The Apple Worldwide Developers Conference) Steve Jobs เปิดตัว 3 อย่างใหม่ๆ และหนึ่งในนั้นคือ iOS5 สำหรับ iPhone, iPod touch และ iPad ,  การ upgrade จาก iOS4 ขึ้นมาเป็น iOS5 นั้นต้องถือว่าเป็นการ Upgrade ครั้งใหญ่  … เรามาดูกันว่ามีอะไรน่าสนใจมั่ง


1. Notification: ระบบการเตือนแบบใหม่ ที่ไม่ออกมาบังทั้งหน้าจอเหมือนเดิม และมีการเก็บ log ไว้ดูได้ว่ามีเตือนอะไรไปแล้วมั่ง มีสรุปรายการเตือนไว้ที่หน้า Lockscreen , โดยรวมแล้วแทบจะเหมือนกับ Mobile Notifier เลย (ก็เพราะ Apple ลงทุนจ้าง   คนพัฒนา Mobile Notifier เป็นพนักงานประจำของ Apple เลยไง)
2. Newsstand: เหมือนๆกับ iBook ที่ไว้ดูหนังสือหรือพวก pdf , แต่ Newsstand เป็นชั้นหนังสือ มีไว้สำหรับพวกนิตยสารรายเดือน,รายสัปดาห์ ที่ไม่ใช่เล่มเดียวจบ
3. Twitter Integration Everywhere : การรวมเอา Twitter ไว้ทุกที่ในระบบ เช่น เราสามารถ Share รูป , แผนที่, Youtube ไป Twitter ได้ง่ายๆ
4. Safari แบบใหม่: Safari ที่เพิ่มความสามารถใหม่ สามารถจัดหน้าเว็บต่างๆให้พอดีกับหน้า iPhone,  iPad เราได้  สามารถดึงบทความที่มีหลายๆหน้ามาอยู่รวมหน้าเดียวกันเพื่ออ่านต่อเนื่องได้ (ปกติเราต้องคลิ๊ก link เพื่ออ่านหน้าต่อไป) , และสามารถ save เป็น list ไว้สำหรับอ่านแบบ offline ได้และสามารถ Sync ระหว่าง iDevice ได้,  มี tab แล้ว สามาถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจากหลายๆหน้าเว็บได้อย่างรวดเร็ว
5. Reminder: มี App ใหม่ชื่อ Reminder ไว้สำหรับสร้างรายการเตือนและตั้งให้เตือนตามเวลาได้  แต่ที่พิเศษคือสามารถตั้งให้เตือนตามตำแหน่งสถานที่ได้ (เช่นเตือนเมื่อเรามาถึงแถวบ้าน หรือออกจากแถวที่ทำงาน)
6. Photo และ Camera แบบใหม่: มี Shortcut ในหน้า lockscreen ที่กดแล้วจะเป็นการเปิดใช้งานกล้องถ่ายรูปได้เลย(ไม่ต้อง unlock), สามารถใช้ปุ่มเพิ่มเสียง (+) ในการกดถ่ายภาพได้ (ไม่ต้องกดที่หน้าจอแล้ว)  แล้วใน Photo ก็เพิ่มความสามารถในการตกแต่งภาพอย่างง่ายๆได้ เช่น ปรับแสง, ปรับสี, ทำภาพให้คม, แก้ตาแดง, Crop ภาพได้
7. Mail แบบใหม่: รองรับ Rich Text สามารถปรับแต่ขนาดตัวอักษร สีตัวอักษรได้ , สามารถแยก mail เป็นช่วงๆได้เมื่อมีการตอบไปตอบมาหลายๆครั้ง ,สามารถลาก email address ไปมาได้ ระหว่าง To, CC, Bcc, สามารถใส่ flag ได้,  สามารถ Swipe เพื่อเข้าไปที่ Inbox ได้
8.ไม่ต้องต่อกับเครื่อง Computer อีกต่อไป: หมายความว่าเครื่องใหม่ตั้งแต่ซื้อมา ไม่ต้องต่อกับ itunes เพื่อ Activate , การ update iOS ก็ไม่ต้อง update ผ่าน itunes ,สามารถ update ผ่าน Wireless ของตัวเครื่อง iphone ได้เองเลย, ส่วน iOS เวอร์ชั่นใหม่ก็เป็นแบบ Download เฉพาะส่วนที่เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มขึ้นมา ไม่ต้อง Download iOS ทั้งหมด
9 .Game Center แบบใหม่: แสดงคะแนนได้, สามารถดูข้อมูลเพื่อนของเพื่อนได้, ใส่รูปเราใน Profile ได้, Game Discovery, Download เกมส์ได้ใน Game Center เลย, สนับสนุนเกมส์ที่เล่นเป็นตาๆ เช่น Scrabble
10. iMessage: App ใหม่ ที่จะเป็นส่ง Message ได้ฟรีระหว่าง iDevice เท่านั้น (ข้าม Platform ไป Android, BB ไม่ได้) … BB ตายแน่คราวนี้
11. Dictionary Everywhere: สามารถเปิด Dictionary ได้จากทุกที่ มีประโยชน์มากตอนอ่านหนังสือ
12. Sync กับ iTunes แบบไร้สายผ่าน WiFi ได้
13. Advanced Gesture: เราสามารถใช้ 2 นิ้ว 3 นิ้ว 4 นิ้ว 5 นิ้วเป็น Gesture ได้ เช่น วางทั้ง 5 นิ้วไว้บนหน้าจอแล้วลากลงด้านล่างจะเป็นการกลับไปที่หน้า Springboard , หรือถ้าลากไปซ้ายหรือขวาจะเป็นการเปลี่ยนไป App ก่อนหน้าหรือหลังจาก App ที่เราใช้งานอยู่

ได้ใช้เมื่อไหร่?
- ประมาณเดือนกันยาเป็นต้นไป , Apple บอกว่าช่วง Fall (ฤดูใบไม้ร่วง)

ไปดูวีดีโอกันเพื่อความเข้าใจมากขึ้น


อ้างอิง

Apple เปิดตัว iPhone5 แล้ว มีอะไรต่างจาก iPhone 4S บ้าง?


iphone5
และแล้ว Apple ก็เปิดตัว iPhone  5 อย่างเป็นทางการ , apple ไม่ได้เปลี่ยนชื่อ iphone เป็น the new iphone แต่ยังคงเรียกไล่ตัวเลขขึ้นไปเหมือนเดิม  ก็เรียกว่า iphone 5 น่ะแหละครับ  , ส่วนมีอะไรใหม่นะเหรอ? ถ้าใครติดตามข่าวลืออย่างต่อเนื่องจะพบว่า ข่าวลือทั้งหมด….
ช่าวลือทั้งหมดเป็นความจริงอย่างเด๊ะๆเลย ไม่มีเซอไพร์  ไอ้ตัวที่หลุดในข่าวลือก็คือตัวจริงๆตัวเป็นๆน่ะแหละครับ  ทั้งหน้าจอ 4 นิ้ว  ,เปลี่ยน Dock ใหม่ให้เล็กลง, ช่องหูฟังย้ายมาอยู่ข้างล่าง, ขนาดยาวขึ้นแต่บางลง, และลองรับระบบ 4G LTE (เมืองไทยไม่ต้องพูดถึง)

ไปดูตารางเปรียบเทียบกันจ่ะๆ
iphone 5 vs iphone 4s


คัดลอกจาก : http://www.techz500.com/?p=3704

วิธีการทำ nano SIMcard สำหรับ iphone5 ด้วยตัวเอง



วิธีทำคือ

1. เข้าไปเว็บนี้  http://www.airportal.de/nanosim/ เพิ่อ Download template เอาไว้ตัด SIM card
2. เลือกใช้ template ให้ถูกอัน   ถ้าคุณใช้ SIM ขนาดธรรมดาอยู่ให้ใช้อันกลางเพื่อตัดเป็น Nano SIM card,  แต่ถ้าคุณมี Micro SIM card อยู่ ก็ให้ใช้ Template อันล่าง
3. เอา SIM card วางให้ตรงตำแหน่ง แล้วก็เอาดินสอหรือปากกาลากเส้นตาม Template แล้วก็ตัดตามลอยที่ขีดไว้เลยครับ  ดูวีดีโอการตัด (http://www.youtube.com/watch?v=4-xOPxLqi_k&noredirect=1) , ถ้าคุณมี SIM card ไม่ได้ใช้ ผมแนะนำให้เอามาตัดเล่นลองมือก่อนน่ะครับ
4. จริงๆแล้ว Micro SIM card และ Nano SIM card มีความหนาที่ต่างกัน , Micro SIM card มีความหนา 0.82 mm , แต่ Nano SIM card มีความหนา 0.70 mm   แต่จากบทความจาก cnet ได้ยืนยันแล้วว่าช่องใส่ Nano SIM card ของ ” iPhone 5″ สามารถใส่ Nano SIM card ที่มีความหนาของ Micro SIM card ได้ … แล้วผมก็ได้ลองดูด้วยตัวเองแล้ว ไม่มีปัญหาครับ ยืนยัน




อ้างอิง

iPhone: Appsฟรี ไม่ต้อง jailbreak


Appsฟรี ไม่ต้อง jailbreak
ถ้าคุณเห็นหัวข้อแล้วเข้ามา กะว่าผมจะบอกวิธีโหลด Apps ทุก Apps ที่เสียเงินอยู่น่ะตอนนี้ได้ฟรีล่ะก็ คุณเข้าใจผิดแล้ว 555
จริงๆแล้วคือผมจะแน่ะนำ Apps ของ iPhone,iPod touch ที่เอาไว้หา Apps ดีๆ(ทั้งฟรีและไม่ฟรี)ต่างหาก
คำถาม: ทำไมต้องมี Apps ที่ไว้หา Apps
คำตอบก็คือ: เพราะว่าทุกวันนี้มีคนทำ Apps ใหม่ๆเข้ามาใน App Store กันอย่างมากมาย จากสถิติเค้าว่าอย่างน้อยวันล่ะ 1000 Apps (ย้ำ 1000 Apps ใหม่ๆทุกวัน)
ทีนี้คนที่อยากจะได้ Apps ใหม่ๆดีๆมาเล่นทำไงล่ะ ก็ไปนั่ง load มันทั้ง 1000 App ต่อวันเลยหรือไง  บางคนก็ดูพวก Top 25 ใน App Store ถามว่าพอหรือเปล่าAppsมีเป็นพันๆต่อวัน   Apps เพื่อหา Apps จึงเกิดขึ้นมาเพื่อแน่ะนำ Apps ใหม่ๆดีๆให้เรา พวก Apps พวกนี้ก็จะลองเล่น App ต่างๆแล้วก็มาแน่ะนำ App ใหม่ๆดีๆฟรีๆ พวกนั้น หรือว่าจะมีลูกเล่นในการหา App ที่ App Store ไม่มี เช่น เรียงตาม Rating เรียงตามความใหม่ ตามราคา App ….
ส่วนอีกมุมนึง คนที่ทำ Apps เพื่อออกมาขาย มันก็มีการแข่งขันเยอะ จะทำไงให้ Apps ตัวเองมีคนมาซื้อเยอะๆ ก็ต้องมามองว่าส่วนใหญ่แล้วคนหา Apps หรือซื้อ Apps กันเพราะอะไร ส่วนใหญ่แล้วคนจะหา/ซื้อ App จากพวก Top download หรือพวกที่มี Rate คะแนนสูงๆ แล้วจะทำไงให้ Apps ตัวเองมี คน Download เยอะๆ มี Rate คะแนนสูงๆในเวลาอันรวดเร็ว วิธีง่ายๆก็คือ แจก “ฟรี” นั่นเอง คนเราชอบของฟรีอยู่แล้ว พอเค้าแจกฟรีเราก็ load , load เสร็จเราก็ลอง พอเราลองแล้วว่าดีเราก็ review ให้Rating ดีๆกับ Apps นั้น บางทีก็ไปบอกเพื่อนให้ load แอบนั้น เพราะฉะนั้น Developer ใหม่ๆเค้าก็จะเปิดให้ Apps ของเค้า “ฟรี” อยู่พักนึง เพื่อทำแต้ม หลังจากทำแต้มเป็นที่น่าพอใจเค้าก็จะขึ้นราคา (ขาย) ถ้าเรามาไวก็load ได้ฟรีไปก่อนเค้าขึ้นราคา   อ้าว…แล้วคนที่ load ไปก่อนฟรีๆแล้วต้องเสียตังค์รึเปล่าหลังจากเค้าขึ้นราคา คำตอบก็คือว่าไม่เสียครับ ถ้าเรา load มาฟรีแล้ว ไม่ว่า Apps นั้นจะขึ้นราคาสักเท่าไหร่ หรือว่ามีการ update versionใหม่ๆมา เราก็สามารถ update ได้ฟรี ส่วนคนที่มาไม่ทันเวลาหลังจาก Developer ขึ้นราคาแล้ว ก็ต้องจ่ายเงินกันไปตามระเบียบ
อีกอย่าง รู้ไหมครับว่า ราคา Apps ก็เหมือนราคาสินค้าทั่วไป มีขึ้น มีลง ไม่ใช่ราคาคงที่ตลอด เช่น เสื้อผ้าหน้าหนาวก็มาลดราคาหน้าร้อน เสื้อผ้าหน้าร้อนก็มาลดหน้าหนาว มีแบบใหม่ออกมาก็ลดราคาแบบเก่า ขายไม่ดีก็ลดราคาลงบ้าง   Apps ก็เหมือนกัน บางทีตรงกับหน้าเทศการอะไรสักอย่าง developer เค้าก็จะลดราคาลง หรือ ปล่อยให้ฟรีเป็นพักๆ เพื่อดึงดูดคนที่สนใจมาสนใจ  บางที developer เค้าทำเงินพอแล้ว กะจะปล่อย version ใหม่ หรือปล่อย App ตัวใหม่ เข้าก็เอาตัวเก่ามาปล่อยฟรี
ดังนั้น++++++ Apps เพื่อหา Apps จึงมีประโยชน์มากๆ เพื่อหา Apps ฟรี ตอนที่ Apps ใหม่ๆเพิ่งออกมา  ตามราคา Apps ตัวที่เราสนใจก็ได้ ราคาตกเมื่อไหร่หรือฟรีเมื่อไหร่ก็เสร็จเรา  หรือจะให้เรียงลำดับว่า App แบบที่ App Store ทำไม่ได้ เช่น Appไหนราคาตกมากที่สุด  หรือให้เรา Review Apps แล้วบอกเพื่อนเราก็ได้
มี Apps หา Apps ตัวไหนที่ผมแนะนำบ้าง
1. AppConnect ตัวนี้ผมชอบมาก ใช้เกือบทุกวัน จุดดีของ App ตัวนี้ก็คือมัน สามารถ Add เพื่อนได้ โดยเมื่อเรา Review App นั้นๆ เพื่อนเราก็จะเห็นด้วย เราจะไป Add ใครเป็นเพื่อนก็ได้ อีกลูกเล่นที่ใช้บ่อยก็คือ ให้มันเรียงAppตามคะแนน AppPoint ซึ่งเป็นคะแนนเฉพาะของ App ตัวนี้โดยเฉพาะ มันก็เป็นอีกทางเลือกนึงนอกจากเรียงตาม Rating จาก App Store  , สามารถตามราคา App ก็ได้ ที่สำคัญคือมีคนเล่นเยอะ มีคน review เยอะ เรามีก็มีข้อมูลในการตัดสินใจเยอะตามไปด้วย
2. FreeAppADay ตัวนี้ทำหน้าที่่ตามชื่อเลยครับ คือ Appนี้เค้าจะpush App ฟรีให้เราทุกๆวัน วันล่ะ 2-3 Apps  แล้วถ้าเราอยากได้Appไหน เราก็ไปโหวตAppนั้นๆ Appไหนที่มีคนโหวตเยอะๆ เค้าก็จะไปคุยกับ Developer ของ App ตัวนั้นเพื่อขอให้มัน”ฟรี” เป็นเวลาสั้นๆ 3-4 วัน แต่ตั้งแต่ผมใช้มา Appฟรีทุกๆวันที่ผมได้จะเป็นแต่ Game ก็สงสัยว่าทำไมไม่ตั้งชื่อมันไปเลยว่า FreeGameADay ตัวนี้คนชอบเล่นเกมส์คงชอบครับ
3. Free App Tracer ตัวนี้ ผมชอบเพราะว่ามันให้รายละเอียดของ App เยอะดี คือทั้งมีจำนวนการ View จำนวนการ Download จำนวน Rating ด้วย แล้วก็สามารถ Track (ติดตาม) ราคา ของAppตัวที่เราสนใจได้
4. free apps finder ตัวนี้ ตอนแรกผมโหลดมาแล้วไม่ได้ใช้เลย เพราะรู้สึกว่าข้อมูลที่แสดงมันน้อยเหลือเกิน ในแต่ละAppมีแค่ราคาอย่างเดียว สงสัยเหมือนกันว่าทำไม App ตัวนี้คนอื่นๆ Review ให้คะแนนดีจัง สุดท้ายติดใจ เป็นAppอีกตัวนึงที่ผมใช้เกือบทุกวัน ทำไม? จริงอยู่เค้าไม่ได้ให้ข้อมูลมากเหมือนAppตัวอื่น(download, rating, … ไม่มีแม้กระทั่งCatagories ว่า ไอ้Appนี้มันเป็น Game มันเป็น Utility หรือเป็นอะไร) …แต่เค้าคัดมาแล้วว่า App พวกนี้น่ะดีจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากรู้ว่า App ตัวที่เค้าแนะนำมาว่าเป็นอะไร ก็กดเข้าไปอ่านรายละเอียดสักหน่อย แล้วถ้าเกิดสนใจก็loadมาลองเลย(เพราะมันฟรี) … แล้วคุณจะรู้ว่าอันเนี๊ยน่ะเค้าคัดมาแล้ว …
5. Top Charts ตัวนี้มีลูกเล่นไม่เหมือนAppอื่นๆ ก็คือ มันจะให้เราเลือก Top Apps จากประเทศต่างๆได้ เช่นเราอยากรู้ว่าตอนนี้ที่ญี่ปุ่น App ตัวไหนดัง เราก็ใช้ App นี้หาได้ … แต่บาง App ที่load ได้ในประเทศนั้นๆ อาจจะ load ไม่ได้ในประเทศอื่นก็ได้ แล้วแต่
6. Appsmart ตัวนี้มีลูกเล่นที่ไม่เหมือนAppอื่นๆเหมือนกัน ก็คือ มันสามารถแนะนำ App ให้เราตามความชอบของเราได้  โดยก่อนที่จะแนะนำเรา เราต้องลอง load App ต่างๆ มาเล่นแล้วก็ review ว่าเราชอบหรือไม่ชอบ  วิธีการ review ก็ง่ายๆ ไม่ต้องเขียนอะไรมาก แค่กดเลือกว่า like หรือ Dislike ถ้าขอบมากก็กด like หลายๆที  มันก็จะเก็บข้อมูลนี้ไว้ เอาไว้แนะนำ App ให้เรา แล้วก็เอาข้อมูลนี้มาแสดงผลให้แต่ละ App ด้วยว่า App ไหนได้คะแนนความชอบเท่าไหร่
หลายคนอาจจะมองอีกมุมนึงว่ะ ทำไมต้องใช้ App พวกนี้ด้วยล่ะ แค่เรา jailbreak แล้วเราก็ไปหา App ฟรี ได้ง่ายๆ ไม่ต้องมาตามให้เหนื่อยด้วย แต่ผมอยากจะฝากข้อดีของวิธีการนี้ไว้ให้เลือกอีกทางนึงตามนี้ครับ
1. ถูกศีลธรรม สนับสนุนคนทำ App : Developer (คนทำ App) เค้าก็หวังจะได้เงินกันทั้งนั้นแหละครับ ถ้าเรา jailbreak แล้วเอาแต่ load ฟรีๆ ไม่ซื้อเลย ใครเค้าจะมาทำ App ให้คุณไว้ใช้ละครับ  - การโหลดฟรีตอนแรกแล้ว Review ก็เหมือนการสนับสนุนเค้าเหมือนกัน
2. update ได้ตลอด ง่ายๆด้วย : App ดีๆบางตัว update บ่อยมาก  ถ้าเรา jailbreak แล้วหาload App นั้นมาได้  update ทีก็ต้องหาversionใหม่ที ลำบากไหมครับ
3. สนุกครับ : ได้รู้จัก App ใหม่ๆเยอะแยะ ได้ตามราคา ได้แน่ะนำเพื่อน มันมันดีน่ะครับ ลองดู

คัดลอกจาก : http://www.techz500.com/?p=25

iOS 6 vs iOS 5


[12-มิถุนายน-2555] หลังจากที่ได้เห็นความสามารถใหม่ของ iOS 6 จาก บทความเจาะลึกฟีเจอร์ iOS 6 กันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าiOS 6 มีฟีเจอร์การใช้งานในหลายส่วนที่เปลี่ยนแปลง และน่าใช้มากทีเดียวครับ ซึ่งนอกจาก iOS 6 จะเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานแล้ว ในส่วนของ User Interface หรือ หน้าตาของ iOS 6 นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจาก iOS 5 บ้างเหมือนกัน แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องใดบ้าง เราจะมาทำการเปรียบเทียบในแต่ละจุด ให้ดูกันครับ
เปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่าง iOS 5 และ iOS 6
iOS 5
iOS 6
เริ่มกันที่หน้า Lock screen กันก่อน จะเห็นได้ว่า ในหน้า Lock screen บน iOS 6 ไอคอนรูปกุญแจ (ตรงกลางด้านบน) ได้หายไปแล้ว
iOS 5
iOS 6
ในส่วนของการรีเฟรชอีเมลมาใหม่ iOS 5 นั้น เป็นไอคอนรีเฟรชด้านล่างซ้าย ส่วน iOS 6 จะเป็นการดึงจากบนลงล่าง เพื่อทำการรีเฟรช นอกจากนี้ แถบบาร์ด้านบน เปลี่ยนเป็นสีโทนฟ้าน้ำทะเล แทนที่สีเงินแบบเดิม
iOS 6
นอกจากนี้ บน iOS 6 สามารถเพิ่มรูป หรือวิดีโอได้จากหน้าเขียนอีเมลใหม่แล้ว แต่สามารถเพิ่มได้ครั้งละ 1 รูปครับ
iOS 5
iOS 6
Interface ของแอพพลิเคชั่นกล้องถ่ายรูปนั้น ได้มีการเปลี่ยนแถบบาร์ด้านล่าง จากสีเงิน เป็นสีดำ
iOS 5
iOS 6
ในส่วนของ Camera Roll นั้น ได้เพิ่มปุ่ม Photo Stream เข้ามา ซึ่งจะต้องเปิดใช้งาน Photo Stream ก่อนในหน้า Settings ครับ
ไอคอน Maps มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนจาก Google Maps มาเป็น Apple Maps นั่นเอง ส่วน YouTube ถูกตัดออกจากแอพพลิเคชั่นมาตรฐานครับ
iOS 5
iOS 6
User Interface ของ Safari นั้น ได้มีการเปลี่ยนสีแถบบาร์ด้านบน จากสีเทา เป็นสีดำ
นอกจากนี้ การใช้ Safari ในแนวนอน จะสามารถเปิดหน้าเว็บนั้นๆ แบบ Full screen ได้ โดยกดที่ปุ่มลูกศรขยาย มุมล่างขวา
iOS 5
iOS 6
นอกจากนี้ ยังสามารถแชร์หน้าเว็บเพจได้ ทั้งผ่านทาง อีเมล, Messages, Twitter หรือ Facebook รวมถึงสั่งพรินต์, Copy, Bookmark, เพิ่มในรายการ Reading List และเพิ่มเป็นไอคอนในหน้า Home Screen
iOS 5
iOS 6
ในส่วนของไอคอน Bookmarks นั้น มี iCloud Tabs เพิ่มเข้ามา
iOS 5
iOS 6
Game Center ได้มีการเพิ่มปุ่ม Challenges
iOS 5
iOS 6
ในส่วนของการใช้งานโทรศัพท์นั้น ได้มีการเปลี่ยน UI ใหม่ จากสีดำ เป็นสีเทาอ่อน แต่ความเห็นส่วนตัวคือ แบบเก่าดูสวยกว่านะครับ
iOS 5
iOS 6
Notification Center สามารถทวีตข้อความลง Twitter และโพสข้อความลง Facebook ได้โดยตรงจากส่วนนี้ โดยที่ไม่ต้องเข้าแอพพลิเคชั่นเพื่อทำการโพสครับ อย่างไรก็ดี ส่วนนี้จะสามารถโพสข้อความได้อย่างเดียว ไม่สามารถดู Feed ได้ครับ ถ้าหากต้องการจะดู Feed ก็ต้องกดเข้าไปในตัวแอพพลิเคชั่นเหมือนเดิม
iOS 5
iOS 6
หน้า Settings ได้มีการเพิ่มส่วนของ Do Not Disturb เข้ามา ส่วนบาร์ด้านบน มีการเปลี่ยนสีเล็กน้อย
iOS 5
iOS 6
ในส่วนของ App Store นั้น ได้มีการ re-design เล็กน้อยครับ โดยเปลี่ยนจากพื้นหลังสีเทาเข้ม เป็นสีเทาอ่อน ดูสว่างขึ้น ในส่วนของแท็บ Featured นั้น เปลี่ยนจากการเลื่อนจากบนลงล่าง เป็นจากซ้ายไปขวา
iOS 5
iOS 6
ส่วนเมนู Top 25 นั้น ได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Top Charts และสามารถดูได้ 3 หมวดเหมือนเดิมครับ Paid, Free และ Grossing ส่วนการใช้งานบน iOS 6 นั้น จะเลื่อนจากซ้ายไปขวาแทน
iOS 5
iOS 6
นอกจากนี้ iOS 6 ยังได้มีการปรับคีย์บอร์ดภาษาไทยให้เป็น 4 แถว จากเดิม 3 แถว ซึ่งการใช้งานในแนวตั้งนั้น อาจจะใช้งานยากซักเล็กน้อยครับ เนื่องจากระยะห่างระหว่างปุ่มนั้นน้อยมาก คนที่นิ้วใหญ่คงจะกดลำบากซักหน่อย แต่ถือว่า ใช้งานได้สะดวกขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
สำหรับด้านบนนั้น เป็นการเปรียบเทียบ User Interface ระหว่าง iOS 5 กับ iOS 6 แบบคร่าวๆ ครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้ สำหรับความเห็นส่วนตัวนั้น ชื่นชอบคีย์บอร์ดภาษาไทยแบบ 4 แถวครับ เนื่องจากพิมพ์ได้สะดวกขึ้นมาก แต่น่าเสียดายที่ปุ่มกดมีขนาดเล็กไปซักเล็กน้อยครับ ซึ่งส่วนที่ไม่ชอบบน iOS 6 คงจะเป็นหน้าโทรออก ที่เปลี่ยนจากสีดำ เป็นสีเทาอ่อน ความรู้สึกส่วนตัวคือ ชอบแบบเก่ามากกว่าครับ เพราะสีเข้มแบบเดิมจะให้ความรู้สึกที่เป็นมิติมากกว่า
[UPDATE : 18 กันยายน 2555] ในส่วนของกำหนดการอัพเดท iOS 6 สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ทาง Apple ได้ประกาศออกมาแล้วว่า สามารถอัพเดทได้ในวันที่ 19 กันยายนนี้ ซึ่งอุปกรณ์ที่สามารถอัพเดทได้นั้น ได้แก่
- iPhone 3GS
- iPhone 4
- iPhone 4S
- iPad 2
- The new iPad (iPad 3)
- iPod Touch gen 4


คัดลอกจาก : http://www.techmoblog.com/iOS-5-vs-iOS-6/